ไปจ่ายงวดสุดท้ายมาครับ ไม่ทราบว่ากองทุนนี้เป็นความคิดของใคร (กลับไปค้นดูทราบว่าเป็นแนวคิดมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประมาณปี 16 จนมาสำเร็จปี 38 สมัยรัฐบาลคุณชวน) ต้องขอขอบพระคุณจริงๆ ผมเองก็เรียนจบมาได้ด้วยกองทุนนี้ ผมเริ่มกู้ปี 40 สองปีแรกไม่ได้ยื่นกู้เพราะมีระเบียบว่าให้เฉพาะผู้ที่ยากจนจริงๆ เท่านั้น ผมเองก็เป็นลูกเลี้ยงข้าราชการธรรมดาๆ ไม่ร่ำรวย + แม่เป็นแม่ค้า ก็เลยยังพอไปได้ แต่พอขึ้นปีสามทางสถาบันราชภัฎ (ตอนนี้เป็น ม.ราชภัฎกันหมดแล้ว) ได้แจ้งมาทางนักศึกษาว่าใครสนใจกู้ให้ยื่นไปเลยเพราะสถาบันจะนำเงินที่ได้รับจัดสรรมามาแบ่งครึ่งเพื่อให้ได้จำนวนผู้กู้มากขึ้นเป็นสองเท่า (ค่าเทอมถูกครับ) ผมก็ไปปรึกษากับแม่ว่าอยากกู้เพราะจะได้ช่วยเหลือตัวเองด้วย วงเงินที่กู้ก็ไม่ได้สูงมากนัก ยื่นไปก็ได้รับการอนุมัติ (แม่เป็นคนค้ำประกัน)จ่ายเป็นค่าเทอม ตามจริง และค่าใช้จ่ายรายเดือน เดือนละ 2 พันบาท
ผมกู้ได้ 2 ปีก็เรียนจบครับ แต่โชคร้าย พ่อกับแม่เลิกกัน และโชคร้ายซ้ำสอง ปี 2542 ฟองสบู่แตกครับ หางานประจำทำไม่ได้เลย ได้แต่ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงตัวไป พอพ้น 2 ปี ที่ปลอดเงินต้น ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรก็นิ่งเฉยไปเลยครับ ผ่านไปหลายปี ก็มีหมายเรียกมาที่บ้านเพื่อน (บ้านตัวเองก็ไม่มีจะอยู่ครับ ได้แต่เอาชื่อไปขอห้อยไว้กับบ้านเพื่อน) เพื่อนเลยติดต่อมาว่ามีหมายเรียกมาให้ไปไกล่เกลี่ยที่ศาลประจำจังหวัด ด้วยความที่คิดว่าถ้าตัวเองหนีไปหรือเฉยๆ แม่จะลำบากถ้าโดนฟ้องไปด้วย ก็เลยไปตามนัดครับเขาจะเอายังไงก็เอาละกัน พอไปถึงศาลากลางจังหวัดบรรยากาศผิดกับที่คิดไว้มากกลายเป็นวันรวมรุ่นพบปะเพื่อนฝูงสมัยเรียนมัธยมไปซะอย่างนั้น เพราะพอจบ ม.6 เพื่อนก็กระจายกันไปเรียนที่นั่นที่นี่ มาเจอะกันอีกทีก็โดนหมายเรียกเรื่อง กยศ กันก็เฮฮากันไป
กยศ ก็ตั้งโต๊ะไกล่เกลี่ยประมาณรอบละ 10 คน เข้าไปเป็นชุดๆ ก็มีแบบฟอร์มให้กรอก สอบถามสาเหตุการไม่ชำระหนี้ คนที่พูดคุยด้วยก็เป็นทนายครับ พูดจาดี นุ่มนวลกันทุกคน เขาคงเข้าใจเหตุผลของแต่คนละคนละครับ ทาง กยศ บอกว่าขอให้มาไกล่เกลี่ยพร้อมช่วยเหลือทุกเหตุผลแต่อย่าหนีหายไปเฉยๆให้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ครับ สำหรับผมทางพี่ทนายบอกว่ายอดหนี้ไม่สูง เอาเป็นผ่อนชำระเป็นรายเดือนละกัน ระยะเวลา 8 ปี จะได้ไม่หนักมาก (จากเดิมต้องจ่ายเป็นรายปี แบบขั้นบันได ซึ่งจะเยอะขึ้นทุกๆ ปี) ซึ่งผมก็ยินดีมากพอส่งไหว นับจากเวลานั้นก็ผ่านมาประมาณ 7 ปี ครับ ผมก็นำเงินไปจ่ายที่ธนาคารก่อนวันที่ 5 ของต้นเดือน (ได้งานประจำทำแล้วครับ) เงินเดือนออกทีไร จะนึกถึง กยศ ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น (หนี้อย่างอื่นก็ยังเพียบอยู่) จนเมื่อวานเลยตัดสินใจจ่ายก้อนสุดท้ายไปทั้งหมดครับ
เงินที่ได้มาในช่วงแรกเราจะรู้สึกว่ามันเหมือนเงินได้เปล่า ใช้ไปอย่างมีประโยชน์บ้างไม่มีบ้างตามแต่สถานการณ์อันนี้ไม่ว่ากัน แต่เมื่อเรียนจบแล้วบางคนเป็นยอดกู้ 3-4 แสนบาท สยองนะครับยังไม่ได้ทำงานเลย ตอนนี้แหละครับจะเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าไปกู้มาเล้ยยย ใครมีมากก็รีบไปจ่ายคืน ใครมีน้อยก็ทยอยจ่าย อย่าให้ถึงกับถูกเรียกเหมือนผมเลย (ถึงแม้จะมีเหตุผลจำเป็นก็เถอะ) ผมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังมีไกล่เกลี่ยเหมือนสมัยผมหรือเปล่า เห็นมีแต่ข่าวว่าจะส่งเข้าเครดิตบูโร แต่ยังไงก็เอาใจช่วยนะครับ
ขอขอบพระคุณกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาครับ
ไปจ่ายงวดสุดท้ายมาครับ ไม่ทราบว่ากองทุนนี้เป็นความคิดของใคร (กลับไปค้นดูทราบว่าเป็นแนวคิดมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประมาณปี 16 จนมาสำเร็จปี 38 สมัยรัฐบาลคุณชวน) ต้องขอขอบพระคุณจริงๆ ผมเองก็เรียนจบมาได้ด้วยกองทุนนี้ ผมเริ่มกู้ปี 40 สองปีแรกไม่ได้ยื่นกู้เพราะมีระเบียบว่าให้เฉพาะผู้ที่ยากจนจริงๆ เท่านั้น ผมเองก็เป็นลูกเลี้ยงข้าราชการธรรมดาๆ ไม่ร่ำรวย + แม่เป็นแม่ค้า ก็เลยยังพอไปได้ แต่พอขึ้นปีสามทางสถาบันราชภัฎ (ตอนนี้เป็น ม.ราชภัฎกันหมดแล้ว) ได้แจ้งมาทางนักศึกษาว่าใครสนใจกู้ให้ยื่นไปเลยเพราะสถาบันจะนำเงินที่ได้รับจัดสรรมามาแบ่งครึ่งเพื่อให้ได้จำนวนผู้กู้มากขึ้นเป็นสองเท่า (ค่าเทอมถูกครับ) ผมก็ไปปรึกษากับแม่ว่าอยากกู้เพราะจะได้ช่วยเหลือตัวเองด้วย วงเงินที่กู้ก็ไม่ได้สูงมากนัก ยื่นไปก็ได้รับการอนุมัติ (แม่เป็นคนค้ำประกัน)จ่ายเป็นค่าเทอม ตามจริง และค่าใช้จ่ายรายเดือน เดือนละ 2 พันบาท
ผมกู้ได้ 2 ปีก็เรียนจบครับ แต่โชคร้าย พ่อกับแม่เลิกกัน และโชคร้ายซ้ำสอง ปี 2542 ฟองสบู่แตกครับ หางานประจำทำไม่ได้เลย ได้แต่ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงตัวไป พอพ้น 2 ปี ที่ปลอดเงินต้น ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรก็นิ่งเฉยไปเลยครับ ผ่านไปหลายปี ก็มีหมายเรียกมาที่บ้านเพื่อน (บ้านตัวเองก็ไม่มีจะอยู่ครับ ได้แต่เอาชื่อไปขอห้อยไว้กับบ้านเพื่อน) เพื่อนเลยติดต่อมาว่ามีหมายเรียกมาให้ไปไกล่เกลี่ยที่ศาลประจำจังหวัด ด้วยความที่คิดว่าถ้าตัวเองหนีไปหรือเฉยๆ แม่จะลำบากถ้าโดนฟ้องไปด้วย ก็เลยไปตามนัดครับเขาจะเอายังไงก็เอาละกัน พอไปถึงศาลากลางจังหวัดบรรยากาศผิดกับที่คิดไว้มากกลายเป็นวันรวมรุ่นพบปะเพื่อนฝูงสมัยเรียนมัธยมไปซะอย่างนั้น เพราะพอจบ ม.6 เพื่อนก็กระจายกันไปเรียนที่นั่นที่นี่ มาเจอะกันอีกทีก็โดนหมายเรียกเรื่อง กยศ กันก็เฮฮากันไป
กยศ ก็ตั้งโต๊ะไกล่เกลี่ยประมาณรอบละ 10 คน เข้าไปเป็นชุดๆ ก็มีแบบฟอร์มให้กรอก สอบถามสาเหตุการไม่ชำระหนี้ คนที่พูดคุยด้วยก็เป็นทนายครับ พูดจาดี นุ่มนวลกันทุกคน เขาคงเข้าใจเหตุผลของแต่คนละคนละครับ ทาง กยศ บอกว่าขอให้มาไกล่เกลี่ยพร้อมช่วยเหลือทุกเหตุผลแต่อย่าหนีหายไปเฉยๆให้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ครับ สำหรับผมทางพี่ทนายบอกว่ายอดหนี้ไม่สูง เอาเป็นผ่อนชำระเป็นรายเดือนละกัน ระยะเวลา 8 ปี จะได้ไม่หนักมาก (จากเดิมต้องจ่ายเป็นรายปี แบบขั้นบันได ซึ่งจะเยอะขึ้นทุกๆ ปี) ซึ่งผมก็ยินดีมากพอส่งไหว นับจากเวลานั้นก็ผ่านมาประมาณ 7 ปี ครับ ผมก็นำเงินไปจ่ายที่ธนาคารก่อนวันที่ 5 ของต้นเดือน (ได้งานประจำทำแล้วครับ) เงินเดือนออกทีไร จะนึกถึง กยศ ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น (หนี้อย่างอื่นก็ยังเพียบอยู่) จนเมื่อวานเลยตัดสินใจจ่ายก้อนสุดท้ายไปทั้งหมดครับ
เงินที่ได้มาในช่วงแรกเราจะรู้สึกว่ามันเหมือนเงินได้เปล่า ใช้ไปอย่างมีประโยชน์บ้างไม่มีบ้างตามแต่สถานการณ์อันนี้ไม่ว่ากัน แต่เมื่อเรียนจบแล้วบางคนเป็นยอดกู้ 3-4 แสนบาท สยองนะครับยังไม่ได้ทำงานเลย ตอนนี้แหละครับจะเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าไปกู้มาเล้ยยย ใครมีมากก็รีบไปจ่ายคืน ใครมีน้อยก็ทยอยจ่าย อย่าให้ถึงกับถูกเรียกเหมือนผมเลย (ถึงแม้จะมีเหตุผลจำเป็นก็เถอะ) ผมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังมีไกล่เกลี่ยเหมือนสมัยผมหรือเปล่า เห็นมีแต่ข่าวว่าจะส่งเข้าเครดิตบูโร แต่ยังไงก็เอาใจช่วยนะครับ